NRF ฉายแววเด่น! กำไรไตรมาส 4/63 “นิวไฮ” สะท้อนรายได้เติบโตสูง

02 กุมภาพันธ์ 2564

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 9 บาท เนื่องจากการปรับเพิ่มกำไรปี 2564-65 ขึ้นเป็นโต 72.1% จากปีก่อน และ 28.8% จากปีก่อน ตามลำดับ มีปัจจัยหนุนจากการรวม City food เต็มปี และได้ลูกค้าใหม่ระดับโลก 2 ราย

ขณะที่ Plant-based Food เติบโตได้เร็วกว่าคาดถึง 58% ในปี 2563 และน่าจะโตเร่งตัวขึ้นในปี 2564-65 โดยผู้บริหารมีเป้าหมายที่ Aggressive เพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 30% ในปี 2567

นอกจากนี้ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจ E-commerce ผ่านการร่วมทุนกับ Boosted ซึ่งดีลแรกจะเข้าซื้อ Prime Labs ธุรกิจอาหารเสริมที่มียอดขายอันดับ 1 ใน Amazon.com ทั้งนี้เรามีการ Re-rate Target PE ขึ้นเป็น 35 เท่า จากเดิม 25 เท่า สะท้อนการเติบโตที่ดีกว่าคาด และปรับขึ้นให้เท่ากับค่าเฉลี่ยของบริษัททำซอส เครื่องปรุงอาหารทั่วโลก แต่ยังเป็น PE ที่ต่ำกว่าธุรกิจ Plant-based Food อยู่มาก ถือว่าเหมาะสมไม่ Aggressive จนเกินไป และคิดเป็น PEG เท่ากับ 1.2 เท่า อิงคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไร 3 ปีข้างหน้า CAGR 29%

โดยระยะสั้นคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 60 ล้านบาท (เพิ่ม 25% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 650% จากปีก่อน) หากไม่รวมค่าตัดจำหน่ายซื้อกิจการ คาดมีกำไรปกติที่ 74 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 21.3% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 23.3% จากปีก่อน) ถือเป็นกำไร New High จากการรวม City Food เข้ามา 1 เดือน น่าจะช่วยหักล้างผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ได้ และคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นจากปีก่อน จาก Product Mix ที่ดี และอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น รวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการนำเงิน IPO ไปชำระเงินกู้ยืมธนาคาร เราจึงปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2563 ขึ้น 7.3% เป็น 207 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 55.6% จากปีก่อน)

ทั้งนี้ บริษัทจะรับรู้รายได้จาก City Food เต็มปีในปี 2564 จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับ NRF อย่างมีนัยสำคัญ เพราะ City Food มีรายได้ปี 2562 และงวด 9 เดือนแรกของปี 63 คิดเป็นสัดส่วน 27% และ 32% ของรายได้ NRF ตามลำดับ นอกจากช่วยเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ยังมีช่องว่างในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มความสามารถทำกำไรให้สูงขึ้นในอนาคตได้

ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมทุนกับ Boosted เพื่อขยายสู่ธุรกิจที่มีกลุ่มสินค้าคล้ายคลึงกับบริษัท แต่มีจุดเด่นอยู่ที่การขายในระบบ E-Commerce บน Amazon โดยอยู่ระหว่างเตรียมเข้าซื้อ Prime Labs ทำธุรกิจอาหารเสริม ซึ่งมีรายได้อันดับ 1 ในหมวดสินค้าเดียวกันตามการจัดอันดับของ Amazon.com และเป็นบริษัทที่มีรายได้และกำไรจะเข้ามาช่วยหนุนได้ทันทีเมื่อดีลแล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตาม จบปี 2563 คาดจะมีรายได้จาก Plant-based Food ราว 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.6% จากปีก่อน (ดีกว่าที่คาด 58%) คิดเป็นสัดส่วนราว 8.7% ของรายได้ และมีเป้าหมายต้องการเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 30% ในปี 2567 ถือว่าค่อนข้าง Aggressive โดยมีแผนขยายไปยังสินค้าใหม่ผ่านทั้งบริษัทร่วมทุน และบริษัท Startup ต่างๆ ที่บริษัทได้ทยอยเข้าไปลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างเข้าลงทุนเพิ่มใน Plant and Bean (มีความสามารถในการผลิตอาหารโปรตีนจากพืช) เป็น 50% จากปัจจุบัน 25% คาดจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2564 และคาดส่วนแบ่งจาก P&B จะพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป นอกจากช่วยสร้างกำไรให้กับบริษัทแล้ว ยังต่อยอดไปยังสินค้า Plant-based Food ใหม่ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย

ด้านแนวโน้มรายได้ Ethnic Food และ Plant-based Food ยังดูสดใสต่อเนื่อง ล่าสุดได้ลูกค้า 2 รายใหญ่ระดับโลก คาดจะรับรู้รายได้มากขึ้นในปี 2564 รวมถึงการปรับเพิ่มรายได้ Plant-based Food เติบโต 30% จากปีก่อน และ 40% จากปีก่อน ในปี 2564-65 สะท้อนคำสั่งซื้อที่สูงขึ้นกว่าคาด และคาดสัดส่วนรายได้จะขยับขึ้นเป็น 9.8% ในปี 2565 ถือว่า Conservative

รวมถึงเริ่มรวมรายได้จากธุรกิจ E-Commerce แม้ช่วงแรกอาจจะยังไม่ส่งผลบวกต่อกำไรอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆเพิ่มเติม จะเป็น Upside ต่อประมาณการในอนาคต เราปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2564-65 ขึ้น 12% – 25% โต 72.1% จากปีก่อน และ 28.8% จากปีก่อน ตามลำดับ พร้อมประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 เท่ากับ 9 บาท โดย Re-rate target PE ของ NRF ขึ้นเป็น 35 เท่า (เดิม 25 เท่า) ปรับขึ้นให้เท่ากับค่าเฉลี่ยของบริษัทที่ทำซอส และเครื่องปรุงอาหารทั่วโลก

ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/418934